ยินดีต้อนรับเข้าสู่ : https://satakarn.blogspot.com/
เว็บบล็อกเพื่อการศึกษาภาษาไทย และภาษาล้านนา
จัดทำโดย ครูอิ่นคำ ศตกาญจน์ โรงเรียนบุญเรืองวิทยาคม
เว็บบล็อกเพื่อการศึกษา ภาษาไทย ภาษาล้านนา และส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม สำหรับนักเรียนและผู้สนใจทั่วไป

แสงธรรมแสงสว่างแห่งชีวิต

แสงพุทธธรรมคือแสงสว่างแห่งชีวิต          





                                      พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร
                         ตรัสรู้อริยสัจ ๔  หรือความจริงอันประเสริฐ
๑.   ทุกข์  ความไม่สบายกาย  ใจ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุต่าง ๆ
๒.    สมุทัย  สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์  ตัณหา ๓
๓.    นิโรธ   ความดับทุกข์  รู้ว่าทุกข์นั้นดับได้ และดับทุกข์ได้
๔.    มรรค   หนทางในการดับทุกข์ ได้แก่อริยมรรค ๘

การนำอริยสัจ ๔ ไปประยุกต์ใช้
๑.    เมื่อคนเราประสบความทุกข์  หรือผลเสียที่เกิดขึ้นแล้ว (ทุกข์)    
๒.    คนเราก็จะหาทางแก้ปัญหา  พิจารณาว่าปัญหานั้นแก้ได้หรือไม่สาเหตุที่ทำให้เกิดผลแบบนั้นคืออะไร (สมุทัย)
๓.    พิจารณาดูว่าปัญหานั้นแก้ได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้บางครั้งก็แก้ทั้งปลายเหตุและต้นเหตุ แต่ถ้ามุ่งแก้ที่ต้นเหตุให้ดี ก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถาวร (นิโรธ)   
๔.    และหาวิธีการแก้ไข จัดการแก้ไขปัญหาหรือสาเหตุของปัญหานั้น (มรรค)   ปัญหานั้นหมดสิ้นไป ผลก็หมดไป (นิโรธ)


นิพฺพานํ  ปรมํ  สุขํ   นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
นิพพาน  คือ เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคน
สวรรค์ในอก นรกในใจ  นิพพานก็อยู่ไม่ใกล
อยู่ที่ใจนั่นแล.
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนิพพาน
        นิพพาน  คือ เมืองแก้วสวรรค์ชั้นสูงสุด ต้องการอยากได้สิ่งใดสิ่งนั้นก็จะอุบัติหรือมีขึ้นมาให้เราตามความปรารถนา

ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิพพาน
        นิพพาน  คือสภาพของจิตที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เป็นผลที่เกิดจากจิตหลุดพ้นจากกิเลส

ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะบันลือโลก
หรือวงจรการเกิดทุกข์ และดับทุกข์
๑. อวิชชา  ความไม่รู้ เป็นเหตุเกิดสังขาร  (การปรุงแต่งด้านจิตใจ)
๒.    สังขาร  เป็นเหตุให้วิญญาณ (ความรู้สึกทาง   ตา หู จมูก
 ลิ้น  กาย  ใจ )
๓.    วิญญาณ เป็นเหตุให้เกิด  นามรูป
๔.    นามรูป  เป็นเหตุให้เกิด  สฬายตนะ (ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย
และใจ
๕.    สฬายตนะ  เป็นเหตุให้เกิด  ผัสสะหรือสัมผัส
๖.    ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิด เวทนา  สุข  ทุกข์  ไม่สุข ไม่ทุกข์
๗.   เวทนา เป็นเหตุให้เกิด  ตัณหา
๘.    ตัณหา  เป็นเหตุให้เกิด  อุปาทาน
๙.    อุปาทาน  เป็นเหตุให้เกิด  ภพ  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ
๑๐.                   ภพ เป็นเหตุให้เกิด  ชาติ
๑๑.                   ชาติ เป็นเหตุให้เกิด  แก่  เจ็บป่วย  ตาย  เศร้าโศก  เสียใจ  คร่ำครวญ  น้อยใจ  คับแค้นใจ  (เกิดอัตตาและความทุกข์ขึ้น)
๑๒.                  อาสวะกิเลส +อวิชชา เป็นเหตุให้เกิดสังขาร
   ** ชาติในที่นี้ เป็นการเกิดของอัตตา หรือตัวตน ในเมื่อเกิดตัวตนขึ้น
 การแก่ เจ็บ ป่วย  เศร้าโศก เสียใจ ความตายก็จะเป็นของตนโดยอัตโนมัติ
 คนเราถ้าอัตตาหมดไป  ความชรา เจ็บป่วย ก็เป็นเพียงธรรมชาติของรูป
 สังขารเท่านั้น..........ดังนั้น วงจรของปฏิจจสมุปบาทที่เกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น
 ดับไป ก็คือสังสารวัฏในชีวิตของคนเรา  เมื่อคนเราตายไป ไปเกิดใหม่อีก
 ก็เป็นสังสารวัฏอีก........ดังนั้น ถ้าจะให้ไม่ต้องเวียน ว่าย ตายเกิด  ก็ต้อง
 ปฏิบัติธรรม  ทำให้สังสารวัฏปฏิจจสมุปบาทให้หมดไป 

 ขยายความปฏิจจสมุปบาท...คลิก 

           ** ถ้าเราศึกษาเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ให้ดีก็จะรู้ว่าไม่ได้พูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดแบบ
ข้ามภพข้ามชาติจากท้องแม่ วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเป็นวิญญาณรับรู้ทาง ตา  หู ฯลฯ เท่านั้น
ชาติ การเกิด ในปฏิจสมุปบาทก็หมายถึงการเกิดอัตตา ตัวตน ความทุกข์ก็เกิดจากตัวตนนี่เอง
เราจะสังเกตว่า คนที่อัตตาแรงนั้น มักจะยึดมั่นในตนเองสูง แม้แต่ความคิดของตน ใครมาเห็นแตกต่าง เขาก็เป็นเดือด เป็นร้อน ทุกข์ใจขึ้นมาทันที
แต่ในทัศนชาวพุทธ คงไม่อาจปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิดแบบที่เกิดจากท้องแม่ได้กล่าวนั้นได้  ดังนั้น  ในตัวคนเราต้องมีวิญญาณ อีกประเภทหนึ่ง ที่มีหน้าที่รับผลแห่งกรรม และไปเกิดในภพใหม่ได้อีก  กล่าวคือ เรื่องของจิต หรือวิญญาณนั้น นอกจากจะรับรู้สิ่งต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและทางจิตเองด้วยนั้น  จิตยังทำหน้าที่จดจำ เข้าใจ คิด  เป็นที่รับบุญ บาป ที่ได้สร้างไว้ เมื่อตายไป  จิตก็จะทำหน้าที่ไปจุติในร่างใหม่ ภพใหม่  เพราะกิเลส และผลกรรมยังไม่จบสิ้น จะยุติการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต่อเมื่อบรรลุอรหันต์  จะเห็นว่ามี 2 สังสารวัฏ  ซ้อนกันอยู่ ตัวจิตนั้นเกิดดับๆ
อยู่เสมอ แต่ก็มีความสืบเนื่องในเรื่องการรับผลบุญ บาป ที่จะทำให้ไปเกิดในชาติต่อไป อย่างนี้ก็คงไม่เรียกว่าสัสสตทิฏฐิกระมัง  เพราะการเกิด เกิดขึ้นตามเหตุ ปัจจัย และไม่ได้บอกว่า เป็นอัตตา ที่จะต้องมีอยู่เป็นอมตะนิรันดร

      ** ในชีวิตประจำวันของคนเราวันหนึ่ง เกิตอัตตา ตั้งหลายครั้ง แค่เกิดความรู้สึกว่าตัวฉัน
            ของฉันขึ้นมาเมื่อใด  ปฏิจจสมุปบาทเกิดแล้ว 1 รอบ  แต่ถ้าคิดว่าฉันปวดท้อง ถ้าคำว่าฉันเป็นเพียงสมมติสัจจะ ก็ยังไม่ถือว่าเกิตอัตตา  แต่ปุถุชนมักจะควบคุมได้ยาก การพูด การกระทำจึง
มีกิเลสนานา และอวิชชา เป็นกองหนุน
      ** เมื่อเสียชีวิต ดวงจิตก็จะไปจุติใหม่ ที่ไหน ภพไหน ก็แล้วแต่บุญ บาป ที่มีอยู่ อวิชชาที่มีอยู่ก็คงอยู่ใน ดวงจิตนั้นต่อ ในชาติใหม่อีก  ตราบใดที่วงจรปฏิจจสมุปบาทยังเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป จนกว่าจะยกระดับดวงจิต ขึ้นถึงระดับอรหัตตผล ได้ญาณเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา  อวิชชาได้หมดสิ้นไปจากดวงจิต  อยู่ในสภาวะของนิพพาน

----------------------------------------------------