ขยายความปฏิจจสมุปบาท ธรรมะบันลือโลก
|
หรือวงจรการเกิดทุกข์ และดับทุกข์
|
๑. อวิชชา ความไม่รู้ เป็นเหตุเกิดสังขาร (การปรุงแต่งด้านจิตใจ)
|
๒. สังขาร เป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ (ความรู้สึกทาง ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ ) สังขารในที่นี้ หมายถึงการปรุงแต่ง โดยเฉพาะการปรุงแต่งทางด้านจิตใจ ด้านกาย วาจา ทำให้เกิดบุญ บาป
|
๓. วิญญาณ เป็นเหตุให้เกิด นามรูป วิญญาณในที่นี้หมายถึงความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นความรู้สึกที่พร้อมจะเกิดกิเลส
ตัณหา พร้อมที่จะเกิดตัวตนขึ้นมา
** ในความเป็นจริงตัวตน ของคนเราไม่มี จะมีก็โดยสมมติเท่านั้น คือสรรพสิ่งเป็นอนัตตา นั่นเอง ไม่ใช่อัตตา ถ้าใครบอกหรือสอน ว่ามีตัวตน ถือว่าสอนพุทธศาสนาผิด ตัวตนมีขึ้นตามประสา ชาวโลกผู้มีกิเลส โดยทั่วไป อันนี้เป็นสัจจธรรมระดับสูง ที่อาจจะเข้าใจยาก แม้ใน คัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ก็พูดถึงว่า จงมีทรัพย์ เหมือนกับ ไม่มี จงมีลูกเมียเหมือนกับไม่มี แล้วเจ้าจะมีความสันติสุข พระเยซูสอนเพื่อให้คนเรา ลดตัวตนลงให้มากที่สุดนั่นเอง แต่ ชาวคริสต์ส่วนมากก็คงไม่เข้าใจในข้อความนี้ และคนเราผู้มีอวิชชา อยู่ในจิตใจก็มักจะโต้แย้งว่า ตัวตนนั้นต้องมีสิ ก็ฉันนี่ไง นั่งอยู่โทนโท่ นี่ไงไม่ใช่ตัวตนฉันแล้วเป็นอะไร เป็นตอไม้หรือไง? ในเมื่อตัวตนไม่มี ของฉัน ของเธอ ของคุณ ของใคร ก็ไม่มี จะมีก็โดย ความจริงโดยสมมติทางโลกเท่านั้น แต่ความจริงโดยสมมติทางโลก ก็ยังจำเป็นต้องมีเช่นกัน เพราะคนส่วนมากยังมีกิเลส เดี๋ยวคนหัวหมอ มันก็จะบอกว่าบ้านหลังนี้ผมจะเอานะ เพราะคุณบอกว่า ไม่มีอะไรเป็นของคุณ ก็แสดงว่าพูดกันไม่รู้เรื่องแล้วหละ ดังนั้น หลักของอนัตตา ธรรมะข้อนี้ จึงเป็นเรื่องเข้าใจยาก พระหลายๆรูป ก็ไม่ค่อยกล้าสอน ถึงแม้จะเป็นของยาก ของสูง แต่พระพุทธเจ้าก็ มีเมตตาสอนสรรพสัตว์ เพื่อสันติสุขของมวลมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ ชาวพุทธควรคิด ใคร่ครวญ ควรศึกษา ควรทำความเข้าใจ ** |
๔. นามรูป เป็นเหตุให้เกิด สฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และใจ) นามคือจิตใจ รูปคือร่างกาย ตามปกติก็มีกันทุกคนอยู่แล้ว
แต่นามรูป ที่มีวิญญาณในข้อ ๓ เป็นปัจจัย เป็นนามรูปที่พร้อมจะเกิดกิเลส พร้อมที่จะเกิดตัวตนขึ้นมา
|
๕. สฬายตนะ เป็นเหตุให้เกิด ผัสสะหรือสัมผัส สฬายตนะ คืออายตนะ
๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในที่นี้เป็น อายตนะพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือสนับสนุน ในการเกิดกิเลส คือเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์พร้อม
ที่จะส่งเสริมในการเกิดกิเลศ
|
๖. ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิด เวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์.....ผัสสะ หมายถึง การกระทบกันระหว่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ (สิ่งที่มากระทบสัมผัสกาย) ธรรมารมณ์ อารมณ์ที่เกิดกับใจ
|
๗. เวทนา เป็นเหตุให้เกิด ตัณหา....เวทนา หมายถึง ความรู้สึกสุข ทุกข์
ไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นผลจากผัสสะ |
๘. ตัณหา เป็นเหตุให้เกิด อุปาทาน....เมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว ก็จะทำให้
เกิดตัณหา คือ อยากได้ อยากมี อยากเป็น และอยากไปให้พ้นจาก สภาพที่เป็นอยู่ |
๙. อุปาทาน เป็นเหตุให้เกิด ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ...อุปาทาน
หมายถึงความยึดมั่น ถือมั่น ถือมั่นว่ามีตัวตน ยึดมั่นว่าของเขา ของ เรา...เริ่มที่จะเกิดตัวตนขึ้นมาแล้ว |
๑๐. ภพ เป็นเหตุให้เกิด ชาติ...ภพ หมายถึงสภาพที่เป็นอยู่ ความรู้สึก
ว่าเป็นนั่น เป็นนี่ เป็นเป็น ๓ ภพใหญ่ ได้แก่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ |
๑๑. ชาติ เป็นเหตุให้เกิด แก่ เจ็บป่วย ตาย เศร้าโศก เสียใจ คร่ำครวญ น้อยใจ คับแค้นใจ (เกิดอัตตาและความทุกข์ขึ้น) ....ชาติ หมายถึง
ความเกิด คือ ความเกิดตัวตน ตัวกู ของกู....ซึ่งส่งผลให้เกิดความรู้สึกว่าฉันป่วย ฉันตาย ฉันเจ็บ ฉันเสียใจ ฉันน้อยใจ ร่างกายนี้เป็น ของฉัน ฉันกำลังแก่ ชรา ความสวยงาม ความหล่อของฉัน กำลัง
หมดไปกับกาลเวลา ฉันทุกข์ใจมาก ๆ
|
๑๒. อาสวะกิเลส +อวิชชา เป็นเหตุให้เกิดสังขาร...พร้อมที่จะเกิด
ปฏิจจสมุปบาทรอบต่อ ๆ ไป ** สัตว์โลกมีการเวียนว่ายตายเกิด มี 2 สังสารวัฏ ซ้อนกันอยู่ เกิดจากท้องแม่ แล้วร่างกายแตกดับตายไป ไปเกิดใหม่ ในภพใหม่อีกก็เป็น สังสารวัฏ เกิดมาแล้วเกิดปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่ง ก็คือชาติหนึ่ง ๆ ก็เป็นสังสารวัฏเช่นกัน คือ เกิดอัตตา ตัวกู ของกู ความสุขของกู ความตายของกู ความทุกข์ของกู ** ** คนเราถ้าพยายามตัดวงจร ปฏิจจสมุปบาท ให้เหลือน้อยที่สุด ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้น้อย ความสุขก็จะตามมา ** ** การตัดวงจรปฏิจจสมุปบาท ท่านแนะนำให้มีสติตรงที่เวทนา เมื่อเกิดสุขเวทนา คนเรามักจะต้องการสุขเวทนายิ่ง ๆ ขึ้น ทำให้เกิด กามตัณหา ภวตัณหา ดิ้นรนแสวงหาสิ่ง หรือสภาพที่จะทำให้เกิด สุขเวทนา เมื่อเกิดทุกขเวทนาก็จะดิ้นรน ให้พ้นจาก สภาพที่ทำให้เกิด (วิภวตัณหา) ** ** อีกหนทางหนึ่งที่น่าจะได้ผลดีก็คือ การมีสติควบคุมจิตไม่ให้ มีการปรุงแต่ง จินตนาการไปในทางที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลสต่าง ๆ ซึ่งคือ (สังขาร) หรือมีสติพิจารณาความจริงตรงผัสสะ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ เกิดสุขเวทนา ทุกขเวทนา ** ** ปฏิจจสมุปบาทเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เกิดขึ้นเร็ว วันละหลายๆ รอบ กว่าจะรู้สึกตัวได้ คนเราก็มักจะทุกข์กาย ทุกข์ใจ เศร้าโศก เสียใจ คับแค้นใจ ตรมใจ การเกิดทุกข์ของคนเรามันมีขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ** ** สิ่งที่จะทำลาย หรือตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้ดี และเด็ดขาดก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อริยมรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราควรจะประพฤติปฏิบัติ** ** ถ้าเราตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทได้เด็ดขาด อวิชชาหมดสิ้น จิตก็ จะอยู่ในภาวะของนิพพาน คือวงจรปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นไม่ได้อีกแล้ว ความทุกข์ก็หมดไป ความสุขระดับโลกุตตรสุข คือนิพพานก็จะเกิดขึ้น |
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ : https://satakarn.blogspot.com/
เว็บบล็อกเพื่อการศึกษาภาษาไทย และภาษาล้านนา
จัดทำโดย ครูอิ่นคำ ศตกาญจน์ โรงเรียนบุญเรืองวิทยาคม
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555
ขยายความปฏิจจสมุปบาท
ขยายความปฏิจจสมุปบาท...ธรรมะบันลือโลก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น